น้ำ นับเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่จำเป็นในการเพาะปลูก เมื่อฝนตกไม่สม่ำเสมอและไม่เพียงพอต่อความต้องการของการเพาะปลูก ระบบชลประทานจึงมีความจำเป็นการแก้ปัญหาดังกล่าวในอดีตการชลประทานจะใช้วิธีให้น้ำตามร่องน้ำ หรือลากสายยางรดน้ำ จากการที่โลกได้พัฒนาระบบชลประทานให้ทันสมัยและมีความสะดวกในการใช้งานมากขึ้น ทำให้ระบบรดน้ำต่างๆมากมาย เช่น ระบบสปริงเกลอร์ใหญ่ ระบบสปริงเกลอร์กลาง ระบบมินิสปริงเกลอร์ ระบบน้ำหยด เทปน้ำหยด ฯลฯ ซึ่งในแต่ละระบบประกอบด้วยอุปกรณ์หลักดังนี้ ปั๊มน้ำท่อส่งน้ำ หัวจ่ายน้ำ อุปกรณ์จ่ายปุ๋ย ฯลฯ
ระบบการให้น้ำพืชที่เกษตรกรนิยมใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
ส่วนใหญ่เป็นอุปกรณ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศซึ่งมีราคาค่อนข้างสูง
ดังนั้นในการเลือกใช้เจะต้องมีความรู้เรื่องหลักการเลือกใช้ที่ถูกต้อง เหมาะสมกับชนิดของพืช
และสภาพพื้นที่ระบบการให้น้ำพืชจึงจะสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ทั้งนี้เพื่อให้คุ้มค่ากับเงินที่ลงทุนที่เกษตรกรจ่ายไป นอกจากนี้อุปกรณ์ต่างๆ
ในระบบให้น้ำพืชยังมีเทคนิควิธีการใช้งาน และการดูแลรักษาที่อาจจะไม่ซับซ้อนยุ่งยาก
แต่ต้องมีความรู้และเข้าใจในการใช้และการดูแลรักษาเพื่อให้อุปกรณ์เหล่านี้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น
หัวจ่ายจ่ายน้ำแบบสปริงเกลอร์ เป็นอุปกรณ์ให้น้ำที่ทำหน้าที่กระจายน้ำให้กับพืชคล้ายๆ
ฝนตกโดยฉีดน้ำขึ้นไปบนอากาศแล้วตกลงมาที่ต้นพืช มีตั้งแต่ขนาดเล็กอัตราการให้น้ำตั้งแต่ 7 - 150
ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง แรงดันใช้งานตั้งแต่ 10 - 100 เมตร มีรัศมีการกระจายน้ำตั้งแต่ 1 - 50 เมตร
ถ้าแบ่งชนิดของหัวสปริงเกลอร์ตามลักษณะของน้ำที่ฉีดออกมาสามารถแบ่งออกได้ดังนี้ฮะ
1 หัวพ่นหมอก (Mist) ลักษณะของน้ำที่ถูกปล่อยออกมาจากหัวจ่ายน้ำแบบนี้จะมีลักษณะเป็นละอองหมอกเล็กๆ
อัตราการจ่ายน้ำน้อย ประมาร 7 ลิตรต่อชั่วโมง แต่ต้องการแรงดันในการใช้งานสูงอย่างน้อย 2
บาร์ขึ้นไปเพื่อทำให้น้ำที่ถูกพ่นออกมาเป็นละอองละเอียด ใช้ในการเพิ่มความชื้นให้กับอากาศ
หรือใช้ในการระบายความร้อนได้ในโรงเรือนเพาะชำ
สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในโรงเรือนปศุสัตว์เพื่อลดความร้อนของโรงเรือนได้ น้ำที่ใช้จะต้องมีความสะอาดมา
รูปที่ 1 หัวพ่นหมอก หมายเหตุฮะ 1 บาร์ เท่ากับ 10 เมตร
2 หัวพ่นฝอย (Spray) เป็นหัวจ่ายน้ำที่ฉีดน้ำออกมาเป็นเม็ดน้ำ
ซึ่งมีขนาดใหญ่และปริมาณน้ำการจ่ายน้ำมากกว่าแบบพ่นหมอก แต่แรงดันที่ใช้ต่ำกว่า
มีรัศมีการกระจายน้ำประมาณ 1 - 2 เมตร สามารถเลือกมุมในการให้น้ำได้ เช่น 90, 180 และ 360 องศาในแนวราบ
ตามลักษณะการปลูกพืชหรือแปลงปลูก น้ำที่ใช้จะต้องมีความสะอาดพอสมควร
ลักษณะหัว เสปรย์ แบบต่างๆ หัวมินิเสปรย์ การทำงานของหัวมินิเสปรย์
3 หัวมินิสปริงเกลอร์ (Mini Sprinklers)
เป็นหัวกระจายน้ำที่มีลักษณะของเม็ดน้ำที่ฉีดออกมามีขนาดใหญ่ขึ้น อัตราการจ่ายน้ำ 50 - 350
ลิตรต่อชั่วโมง มีรัศมีการให้น้ำ 2 - 6 เมตร ใช้แรงดัน 1 - 3 บาร์
มีทั้งแบบติดตั้งบนท่อแขนงโดยใช้ท่อตั้ง (Riser) แยกขึ้นมาเหนือดินและแบบที่มีท่อเล็กๆ
จ่ายน้ำจากท่อแขนงมายังหัวจ่ายน้ำ แบ่งออกเป็นสามลักษณะคือ
1 แบบมีใบพัดหมุนเหวี่ยงน้ำ ใบพัดจะทำหน้าที่หมุนเหวี่ยงน้ำให้กระจากไปรอบๆ
หัวจ่ายน้ำโดยอาศัยแรงดันของน้ำเป็นตัวผลักดันให้ใบพัดหมุน
2 แบบใช้น้ำกระทบกับผนังด้านบน
เป็นแบบที่อาศัยน้ำที่ถูกฉีดออกมาจากหัวฉีดแล้วกระทบกับผนังด้านบนแล้วแตกกระจายออก
3 แบบท่อเจาะรู เป็นท่อที่เจาะรูด้านบนและด้านข้างเพื่อให้น้ำฉีดออกมาได้
2. ท่อ (Piping)
ทำหน้าที่ในการส่งน้ำจากแหล่งน้ำไปให้หัวจ่ายน้ำ โดยมีการเชื่อมต่อท่อด้วยข้อต่อชนิดต่างๆ
ถ้าหากความยาวของท่อไม่เพียงพอ ท่อส่งน้ำมีหลายชนิดคือ
2.1 ท่อพีวีซี (PVC) เป็นท่อพลาสติก ยาวท่อนละ 4 เมตร ไม่ทนต่อแสงอุลตร้าไวโอเล็ต
แตกหักได้ง่ายหากกระทบกระเทือนหรือโดนรถเหยียบ แบ่งตามชนิดการใช้งานได้ 3 ประเภทคือ
2.1.1 ท่อพีวีซีสีเทา ใช้ในงานส่งน้ำทางการเกษตรซึ่งไม่ต้องการแรงดันมากนำ
มีความหนาของท่อน้อย
2.1.2 ท่อพีวีซีสีเหลือง ใช้ในงานร้อยสายไฟฟ้าทนต่อความร้อนและไฟได้ดี
2.1.3 ท่อพีวีซีสีฟ้า ใช้ในงานส่งน้ำประปาและการเกษตร มีความหนามากกว่าแบบอื่น
ทนแรงดันได้ดีกว่า แบ่งออกเป็น 3 ชั้นคุณภาพ (Class) โดยจะมีความหนาและสามารถทนแรงดันได้แตกต่างกัน คือ
2.1.3.1 ชั้น 5 หมายถึงใช้งานที่แรงดัน 5 บาร์
2.1.3.2 ชั้น 8.5 หมายถึงใช้งานที่แรงดัน 8.5 บาร์
2.1.3.3 ชั้น 13.5 หมายถึงใช้งานที่แรงดัน 13.5 บาร์
รูปท่อ Pe
3. ข้อต่อ (Fitting) ข้อต่อที่ใช้สำหรับระบบประกอบไปด้วย ข้อต่อตรง ข้องอฉาก ข้อต่อสามตาฉาก ข้อลด
สามตาลด ข้อโค้ง เลือกใช้ตามมุมโค้งที่ต้องการ
ซึ่งอาจจะใช้ข้อต่อตามชนิดของวัสดุที่ผลิตท่อก็ได้หรืออาจจะใช้ผสมกันตามความเหมาะสมก็ได้
ข้อต่อต่างๆ
. เครื่องสูบน้ำและต้นกำลัง (Pumping) ทำหน้าที่สูบน้ำและเพิ่มแรงดันให้กับระบบ
มีหลายประเภทแยกตามหลักการทำงาน เช่น เครื่องสูบน้ำแบบหอยโข่ง เครื่องสูบน้ำแบบปั้มชัก
เครื่องสูบน้ำแบบเจ็ตปั้มและเครื่องสูบน้ำแบบโรตารี่
ต้นกำลังที่ใช้อาจจะเป็นเครื่องยนต์หรือมอเตอร์ไฟฟ้า
การเลือกใช้เครื่องสูบน้ำที่ดีจะต้องพิจารณาถึงอัตราการสูบน้ำหรือความสามารถในการสูบน้ำต่อระยะเวลา
ซึ่งจะต้องเพียงพอต่อความต้องการน้ำของหัวจ่ายน้ำในการเปิดน้ำแต่ละครั้ง
และจะต้องพิจารณาถึงแรงดันสูงสุดหรือแรงดันใช้งานที่เครื่องสูบน้ำสามารถส่งน้ำไปได้
ทั้งนี้เพื่อให้อัตราการจ่ายน้ำของหัวจ่ายน้ำเป็นไปอย่างสม่ำเสมอและมีรัศมีการฉีดตรงตามที่ออกแบบ