นายธงชาติ รักษากุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าจากการที่ประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ได้เข้มงวดนำเข้าสินค้าเกษตร โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของสินค้าต้องปราศจากสารเคมีนั้น ในปีนี้กรมส่งเสริมการเกษตรจึงมีนโยบายสำคัญให้เกษตรกรลดการใช้สารเคมี โดยได้ดำเนินการเอ็กซเรย์พื้นที่การเกษตรทั่วประเทศ เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกว่าพื้นที่ใดใช้สารเคมีบ้าง
ทั้งนี้ การเอ็กซเรย์พื้นที่การเกษตร จะกำหนดระดับการใช้สารเคมีออกเป็น 3 ระดับคือพื้นที่ที่ผลิตพืชที่ปลอดภัยหรือเกษตรอินทรีย์ จะมีสัญลักษณ์คือ 3 ดาว พื้นที่ใช้สารเคมีวิธีใช้ถูกต้องบ้างไม่ถูกต้องบ้างสัญลักษณ์ 2 ดาว ใช้สารเคมีและวิธีใช้ยังไม่ถูกต้อง 1 ดาว หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ของกรมส่งเสริมการเกษตรจะเข้าไปให้คำแนะนำวีการใช้สารเคมีให้ถูกต้องหรือลดการใช้ลง ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยและเพิ่มมูลค่าส่งออกสินค้า โดยคาดว่าภายในเดือนเม.ย.จะทราบผลพื้นที่การเกษตรทั่วประเทศว่ามีการใช้สารเคมีกันอย่างไร
"เราต้องรีบดำเนินมาตรการดังกล่าว เพื่อลดการใช้สารเคมีหรือควบคุมการใช้ เพื่อให้สินค้าเกษตรของไทยปลอดสารเคมี เนื่องจากเวลานี้แม้การค้าระหว่างประเทศจะเปิดการค้าเสรีลดอัตราภาษีนำเข้าระหว่างกัน แต่ได้นำมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี มาเป็นเครื่องมือกีดกันทางการค้า ซึ่งหากสินค้าของเราไม่ได้มาตรฐานตามที่คู่ค้ากำหนดหรือมีสารเคมีตกค้างก็จะถูกตีกลับ ที่สำคัญโอกาสการส่งออกยากกว่ามาตรการกำหนดภาษีนำเข้าเสียอีก แต่ถ้าหากเราทำได้มูลค่าสินค้าจะเพิ่มขึ้นด้วย"
แหล่งข่าวจากสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช) เปิดเผยว่าในแต่ละปีจะมีสินค้าเกษตรของไทยถูกกักกันหรือถูกตีกลับจากประเทศคู่ค้า อันเนื่องมาจากมีสารเคมีตกค้าง เชื้อโรค เชื้อรา หรือศรัตรูพืช เป็นจำนวนมาก เช่นปี 2548 ที่ผ่านมา สินค้าเกษตรของไทยที่ส่งออกไปยุโรปถูกกักกันอันเนื่องมาจากตรวจพบสารเคมี เชื้อโรค เชื้อราถึง 94 ครั้ง ถูกกักกันเนื่องจากพบศรัตรูพืช 148 ครั้ง ซึ่งสร้างความเสียหายและสูญเสียโอกาสการส่งออกเป็นอย่างมาก
ด้านแหล่งข่าวจากกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยสถิติการนำเข้าสารเคมีและปุ๋ยเคมี พบว่าการนำเข้าสารเคมีของไทยยังคงมีปริมาณและมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ดังจะเห็นได้จาก
ปี 2540 นำเข้าปริมาณ 42,116.5 ตัน มูลค่า 4,972.61 ล้านบาท
ปี 2541ปริมาณนำเข้า 33,037.24 ตัน มูลค่า 5,081.41 ล้านบาท
ปี2542 ปริมาณนำเข้า 37,826.92 ตัน มูลค่า 4,696.95 ล้านบาท ปี
2543 ปริมาณนำเข้า 52,035.89 ตัน มูลค่า 7,258.44 ล้านบาท
ปี 2544 ปริมาณนำเข้า 59,817.41 ตัน มูลค่า 8,713.10 ล้านบาท
ปี 2545 ปริมาณนำข้า 65,009.87 ตัน มูลค่า 9,083.59 ล้านบาท
ปี 2546 ปริมาณนำเข้า 79,578.39 ตัน มูลค่า 11,341.20 ล้านบาท
ปี 2547 ปริมาณนำเข้า 86,904.95 ตัน มูลค่า 11,135.07 ล้านบาท
สารเคมีที่มีการนำเข้ามากที่สุดได้แก่ สารกำจัดแมลง สารป้องกันและกำจัดโรคพืช สารกำจัดวัชพืช สารกำจัดไร สารกำจัดหนู สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืช สารกำจัดหอยและหอยทาก สารรมควัน สารกำจัดไส้เดือนฝอย
ส่วนปุ๋ยเคมี ปี 2546 นำเข้าปริมาณ 3.83 ล้านตัน มูลค่า 25,745.61 ล้านบาท ปี 2547 นำเข้าปริมาณ 3.72 ล้านตัน มูลค่า 32,448 ล้านบาท ปี 2548 นำเข้าปริมาณ 3.31ล้านตัน มูลค่า 33,276.36 ล้านตัน เหตุที่ปี 2548 นำเข้าปริมาณลดลงแต่มูลค่าเพิ่มขึ้นเนื่องจากภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลกสูง ส่งผลให้ราคาปุ๋ยแพงตามไปด้วย ขณะที่ปริมาณนำเข้าลดลงเพราะสถานการณ์ภัยแล้งจึงมีการใช้ปุ๋ยน้อยลง
แหล่งข่าวจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ความเห็นว่ารัฐบาลได้ตระหนักถึงปัญหาการส่งออกสินค้าเกษตร ที่ปัจจุบันประเทศคู่ค้าเข้มงวดการนำเข้า จึงได้มีนโยบายเกษตรอินทรีย์ โดยคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบหลักการยุทธศาสตร์เกษตรอินทรีย์เป็นวาระแห่งชาติตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค.48 โดยให้ทุกภาคส่วนร่วมกันในลักษณะบูรณาการ แต่ถึงขณะนี้ยุทธศาสตร์เกษตรอินทรีย์ยังมีความคืบหน้าไม่มาก
ฐานเศรษฐกิจ 23 มี.ค. - 25 มี.ค. 2549