อาหารการกิน......ปัจจุบันแม้จะมีให้เลือกหลากหลายทะลักเข้ามาในสังคมบ้านเรา ทั้งที่ประเภทแพงหูฉี่ราคาเทียบเท่าทองคำ จนถึงประเภททั้งประเภทกินสะดวกกินด่วนที่วัยรุ่นชอบแอ็กอาร์ตเปิบกันแล้วว่าทันสมัย
แต่ยังไง๋ยังไง....วัฒนธรรมการบริโภคของไทยเราก็ยังโหยหาน้ำ พริกกันอยู่วันยังค่ำ เพราะชื่อนี้ไม่ว่าจะชนิดใดภาคไหน รสชาติของมันประทับเข้าถึงโคนลิ้นเลยทีเดียว ยิ่งถ้าได้เหยาะแมงดาเข้าไปซักนิดแล้ว กลิ่นของมันจะช่วยปรุงรสให้แซบเหลือหลาย
แมงดานาที่ใช้ตำกับน้ำพริกจะเป็นแมงดานา ซึ่งสนนราคาที่ขายตามท้องตลาดยามนี้ก็อยู่ที่ตัวละ 5-10 บาท... และราคานี้ก็มิใช่ว่าจะหาซื้อได้ง่ายๆด้วย
แมงดานา....มีด้วยกัน 3 สายพันธุ์ คือ พันธุ์หม้อ ซึ่งเป็นพันธุ์ที่เราเห็นวางขายอยู่ตามท้องตลาด ลำตัวมีลักษณะขอบปีกมีลายสีทองคลุมไม่มิดส่วนหาง จะขยายพันธุ์รวดเร็ว ไข่ดก พันธุ์ลาย ขอบปีกมีลายสีทองและคลุมมิดหาง วางไข่แต่ละครั้งไม่แน่นอน และ พันธุ์เหลือง หรือ พันธุ์ทอง มีสีเหลืองทั้งตัว ชอบกินแมงดานาพันธุ์อื่นๆเป็นอาหาร....จึงไม่ควรเลี้ยงรวมกับพันธุ์อื่นๆ
แมงดานาตัวเมียลำตัวจะแบน ส่วนท้องใหญ่กว้าง เมื่อแง้มดูที่ปลายท้องจะเห็นอวัยวะวางไข่คล้ายเม็ดข้าวสาร ส่วน ตัวผู้ ลำตัวจะกลมป้อมเล็กกว่าตัว เมีย มีเดือยหาง ซึ่งส่วนนี้จะมีต่อมกลิ่นหอมฉุน
มันชอบออกบินในเวลากลางคืน ส่วนกลางวันจะหลบซ่อนอยู่ตามหนอง คลอง บึง และในท้องนา ในเวลาฤดูฝนกลางคืนเมื่อมีฝนตกปรอยๆ ตัวแก่จะบินขึ้นมาวนเวียนอยู่ตามที่มีแสงไฟฟ้าโดยเฉพาะสีม่วง สีฟ้า สีน้ำเงิน แล้วปล่อยกลิ่นเพื่อเรียกความสนใจจากตัวเมีย ให้มาผสมพันธุ์ ปีหนึ่ง จะฝากรัก 3-4 ครั้ง เมื่อได้ความสุขสุดขีดแล้วมันก็จะตาย
ช่วงที่มันฝากรักปล่อยกลิ่นฉุนเรียกคู่มาหา แล้วมันก็จะเกาะบนหลังตัวเมีย ผสมพันธุ์ตามกอหญ้า กอข้าว เมื่อตัวเมียวางไข่ ซึ่งมีลักษณะเป็นกลุ่มวางเรียงเป็นแถวตามต้นข้าวหรือต้นหญ้า หรือตามกิ่งไม้ขนาดเล็กในน้ำ ซึ่งแต่ละกลุ่มมีประมาณ 100-200 ฟอง...ตัวผู้จะทำหน้าที่เฝ้าไข่ โดยว่ายน้ำขึ้น-ลงตลอดและเยี่ยวรดไข่
สัญชาตญาณในการป้องกันตัว เมื่อศัตรูมารุกรานจะส่งกลิ่นทำให้เหม็น แล้วไม่กล้าเข้าใกล้
...แต่มันก็ใช้ได้กับพวกสัตว์ด้วยกันเท่านั้น เพราะนำมาใช้กับมนุษย์ท้ายสุดก็ต้องลงไปอยู่ ในถ้วยน้ำพริก...เป็นอาหารถ้วยโปรดของใครหลายๆคนไปฉิบ.
เพ็ญพิชญา เตียว |