มันสำปะหลัง...เป็นพืชเศรษฐกิจของบ้านเรา ยิ่งปัจจุบันวัตถุดิบตัวนี้มีบทบาทหลายหลาก ในวงการอุตสาหกรรม ยิ่งได้รับความต้องการจากประเทศคู่ค้า
ไทยเราจึงเป็นผู้นำในการส่งออผลิตภัณฑ์ จากมันสำปะหลังของโลก โดยการแปรรูปในเบื้องต้นเพื่อภาคอุตสาหกรรมเป็นมันอัดเม็ด มันเส้นประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ และแป้งมันประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ ส่งออกของผลิตภัณฑ์มีมูลค่าประมาณ 2 หมื่นล้านบาทต่อปี!!!
เส้นทางเศรษฐกิจของมันสำปะหลังจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เมื่อมีการเพิ่มรูปแบบในการแปรรูป โดย เอาไปเป็นวัตถุดิบสกัดเป็น เอทานอล อันเป็น ส่วนประกอบของน้ำมัน เชื้อเพลิง แก๊สโซฮอล์ หนึ่งในพลังงานทดแทน ที่สำคัญแต่ปัญหาหลักของเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังคือ ปัจจัยการผลิตมีราคาสูงขึ้นทำให้ ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นเป็นลำดับ...ในขณะที่ดินเสื่อมความอุดมสมบูรณ์ทำให้ผลผลิตต่อไร่ต่ำ เกษตรกรได้รับผลตอบแทนน้อย
กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้มอบหมายให้ สถาบันวิจัยพืชไร่เป็นผู้รับผิดชอบ ในการดำเนินงานวิจัยพัฒนาและคัดเลือกสายพันธุ์มันสำปะหลัง ที่เหมาะสมเพื่อนำเข้าสู่อุตสาหกรรมการผลิตเอทานอล โดยวัดจากเปอร์เซ็นต์แป้ง และต้นทุนการผลิต..... อันเป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่ช่วยลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วยพื้นที่ และเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรได้อีกทางหนึ่งด้วย
นายอลงกรณ์ กรณ์ทอง ผู้อำนวยการสถาบันวิจัย พืชไร่ บอกว่า... จากการวิจัยและทดลองพบว่า สายพันธุ์มันสำปะหลังที่เป็นพืชพลังงานทดแทนที่มีศักยภาพ เหมาะสำหรับการทำเอทานอล คือ... พันธุ์ระยอง 9
....ซึ่งให้ผลผลิตสูงและสามารถแปรรูปเอทานอลได้ประมาณ 200 ลิตร ต่อหัวมันสด 1 ต้น ผลผลิตแป้งและผลผลิตมันแห้งสูง 1.24 และ 2.11 ตันต่อไร่ ตามลำดับ
และให้ผลผลิตเอทานอลสูงทุกอายุเก็บเกี่ยว ตั้งแต่อายุ 8 เดือน 12 เดือน และ 18 เดือน ให้ เอทานอล 191 208 และ 194 ลิตร จากหัวสด 1 ตัน ตามลำดับ
แต่มีข้อควรระวังคือ ควรเก็บเกี่ยวเมื่ออายุประมาณ 1 ปี เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีเปอร์เซ็นต์ แป้งสูงแต่สะสมน้ำหนักช้า ถ้าเก็บเกี่ยวเร็วจะให้ผลผลิตหัวสดต่ำกว่าพันธุ์มาตรฐานอื่นๆ
จากผลงานวิจัยฉบับนี้ กรมวิชาการเกษตรได้ให้การรับรองพันธุ์มันสำปะหลังระยอง 9 แล้ว และ สถาบันวิจัยพืชไร่กำลังดำเนินโครงการเร่งรัดขยายพันธุ์ โดยความร่วมมือจาก ศูนย์วิจัยพืชไร่ จังหวัดระยอง, นครราชสีมา, ขอนแก่น, กาฬสินธุ์, เพชรบูรณ์, นครสวรรค์, ชัยนาท และ อุบลราชธานี รวมถึง ศูนย์บริการวิชาการด้านพืชและปัจจัยการผลิต จังหวัดร้อยเอ็ด, มหาสารคาม, ปราจีนบุรี, เลย, สกลนคร และ มุกดาหาร
หากเกษตรกรสนใจติดต่อท่อนพันธุ์ไปปลูกตามศูนย์ต่างๆได้ แต่ต้องรีบเร่ง เพราะมีจำนวนเพียงพอ สำหรับพื้นที่ 10,000 ไร่เท่านั้น.
|