|
วิวัฒนาการของเครื่องดำนา
ประเทศญี่ปุ่นมีการเพาะปลูกข้าวมายาวนานกว่า 2,000 ปี ปัจจุบันการดำนาของชาวนาญี่ปุ่นใช้เครื่องดำนาประมาณร้อยละ 96 ปักดำด้วยแรงงานคน ประมาณร้อยละ 3 ซึ่งเป็นการปักดำเพื่อการอนุรักษ์ไว้ในแหล่งท่องเที่ยว ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 0.5 ทำนาหว่าน ซึ่งตรงข้ามกับเมืองไทยที่นาหว่านเพิ่มขึ้น นาดำกลับลดลงเรื่อยๆ ดังนั้น การเพาะปลูกข้าวเกือบทั้งหมดจึงใช้เครื่องดำนา ประเทศญี่ปุ่นได้ค้นคิดประดิษฐ์และพัฒนาเครื่องดำนามากว่า 100 ปี และได้มีการจดสิทธิบัตรเครื่องดำนาเป็นครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2441 แต่เครื่องดำนาในขณะนั้นไม่ได้รับความนิยมจากชาวนา จนกระทั่ง พ.ศ. 2503 เครื่องดำนาได้รับการปรับแต่งแก้ไขจุดบกพร่องต่างๆ และผลิตออกสู่ตลาด ต่อมา ปี พ.ศ. 2508 เครื่องดำนาใช้กับกล้าล้างราก ยี่ห้อชิบูร่า-อาร์พี 2 (Sibura-RP 2) โดยมีหลักการทำงานเลียนแบบการปักดำของคน แต่การปักดำไม่ค่อยแน่นอนเท่าไร ปีถัดมา พ.ศ. 2509 เครื่องดำนาใช้กับกล้าแผ่นหรือกล้าดิน ยี่ห้อ Kanriu -1 ใช้คนลากปักดำได้แถวเดียว เครื่องดำนาแบบนั่งขับหรือรถดำนาผลิตออกสู่ตลาดในปี พ.ศ. 2520 จากนั้นได้มีการผลิตเครื่องดำนาออกมาหลายรุ่น ประเทศเกาหลีเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ผลิตเครื่องดำนาออกมาจำหน่าย
ประเภทของเครื่องดำนา
การแบ่งประเภทของเครื่องดำนามีการแบ่งออกได้หลายประเภทหลายวิธีการ แต่โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 3 ประเภท
1. เครื่องดำนาใช้แรงคน (Manual rice transplanter) เครื่องดำนาใช้แรงคน อาศัยแรงงานจากคนโดยตรง ทำให้กลไกเกิดการปักดำด้วยการเข็นเดินหน้าและเดินถอยหลัง เครื่องดำนาประเภทนี้แยกออกตามชนิดของต้นกล้าที่ใช้กับเครื่องได้ดังนี้
1.1 เครื่องดำนาใช้แรงคนชนิดใช้กับต้นกล้าล้างราก ต้นกล้าที่จะใช้กับเครื่องชนิดนี้จะถูกถอนออกจากแปลงเพาะกล้า เมื่ออายุได้ 20-25 วัน แล้วนำมาล้างรากเอาดินที่ติดอยู่กับรากออกให้หมด ก่อนนำไปจัดวางในถาดกล้าอย่างเป็นระเบียบ ปักดำได้ครั้งละ 4-6 แถว การสูญเสียต้นกล้าระหว่างการปักดำเกิดขึ้นประมาณ ร้อยละ 11-34 ผู้ใช้ต้องเดินถอยหลังเพื่อลากตัวเครื่องไปและทำการปัก ความสามารถในการทำงานของเครื่องได้ประมาณวันละ 3 ไร่ (8 ชั่วโมง 2 คน ผลัดกัน) มีใช้ในประเทศไทยระยะหนึ่ง
1.2 เครื่องดำนาใช้แรงคนชนิดใช้กับต้นกล้าเป็นแผ่น ลักษณะของเครื่องคล้ายกับชนิดแรก แตกต่างกันที่ต้นกล้าที่นำมาใช้กับเครื่อง การเพาะกล้ามีขั้นตอนการเพาะที่พิถีพิถันมากกว่า โดยจะต้องเพาะกล้าให้เป็นแผ่นพอดีกับช่องถาดใส่ต้นกล้าของเครื่อง ปักดำได้ครั้งละ 4-8 แถว ผู้ใช้ต้องเดินถอยหลังเช่นเดียวกัน ความสามารถในการทำงานได้วันละ 2.5-3 ไร่ เป็นเครื่องที่ได้รับการพัฒนาจากสถาบันวิจัยข้าวระหว่างประเทศ (IRRI) และได้มีการปรับปรุงแก้ไขในประเทศญี่ปุ่น และไต้หวัน ได้มีการนำมาใช้กันตามศูนย์วิจัยข้าวต่างๆ ในประเทศไทยหลายปีมาแล้ว แต่ไม่เป็นที่นิยมใช้ในที่สุด
2. เครื่องดำนาใช้เครื่องยนต์แบบเดินตาม (Walking type rice transplanter) ได้แก่
2.1 เครื่องดำนาใช้เครื่องยนต์ชนิดใช้กับต้นกล้าเป็นแถบยาว เครื่องดำนาชนิดนี้ต้นกล้าจะถูกเพาะในกระบะที่แบ่งเป็นช่องๆ เพื่อให้ต้นกล้าที่ออกมาเป็นแถวเล็กๆ แล้วนำออกจากกระบะมาใส่ในถาด แล้วถูกอุปกรณ์ป้อนต้นกล้าพาเข้าไปยังอุปกรณ์ปักดำ แถวต้นกล้าจะถูกเฉือนเป็นท่อนก่อนการปักดำ ขนาดของท่อนกล้า 10-15 มิลลิเมตร ปักดำได้ครั้งละ 2 แถว เครื่องดำนาชนิดนี้ช่วยลดการสูญเสียของต้นกล้าระหว่างการปักดำได้มาก ประมาณร้อยละ 1.1-1.5 และมีราคาถูก ถึงแม้จะมีข้อดีที่มีการสูญเสียต้นกล้าในการปักดำน้อยและมีราคาถูก แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมใช้กัน เนื่องจากมีขั้นตอนและใช้แรงงานในการเพาะกล้ายุ่งยาก
2.2 เครื่องดำนาใช้เครื่องยนต์ชนิดใช้กับกล้าล้างราก เครื่องดำนาชนิดนี้เป็นเครื่องดำนาเริ่มแรกที่มีการประดิษฐ์ขึ้น เพื่อจะมาทำหน้าที่ปักดำแทนคน โดยติดตั้งอุปกรณ์ปักดำประกอบเข้ากับรถไถเดินตามหรือเครื่องพรวนดินแบบเดินตาม ใช้เครื่องยนต์ดีเซลเป็นต้นกำลัง ทำให้เครื่องมีน้ำหนักมาก การถอยหลังเป็นไปด้วยความล่าช้า การเลี้ยวกลับหัวงานลำบาก เพราะใช้วงเลี้ยวกว้าง แต่มีข้อได้เปรียบที่ขั้นตอนในการเตรียมกล้าไม่ยุ่งยาก เนื่องจากใช้กล้าชนิดเดียวกันกับที่เพาะไว้สำหรับการทำนาดำทั่วไป
2.3 เครื่องดำนาใช้เครื่องยนต์ชนิดใช้กับกล้าแท่งหรือกล้าหลุม เครื่องดำนาชนิดนี้ยังคงมีการใช้กันอยู่ทางตอนเหนือของประเทศญี่ปุ่น แต่ก็มีอยู่เป็นจำนวนน้อย กล้าแท่งหรือกล้าหลุมที่จะใช้ต้องเป็นกล้าแก่ (Mature seedling) กล้าที่มีอายุมากรากจะขดกันเป็นก้อนรูปแท่งสี่เหลี่ยมตามรูปทรงของหลุมในกระบะเพาะ ทำให้ส่วนของรากมีน้ำหนักมาก จึงเหมาะกับพื้นที่นาที่เป็นดินทราย ที่กล้าทั่วไปหรือกล้าแผ่นไม่สามารถตั้งต้นให้ตรงได้ กล้ามักจะเอนหรือล้มนอนราบ แต่กล้าแท่งจะทรงตัวให้ตั้งตรงได้ดีในดินทรายหรือดินเป็นเลนอ่อนมาก เนื่องจากแท่งดินกับกระจุกรากจะเป็นฐานยึดติดให้อย่างดี แต่กล้าแท่งก็มีขั้นตอนในการเพาะกล้าที่ยุ่งยากกว่าและมีปัญหาในการจัดซื้อหากระบะเพาะ ซึ่งไม่ค่อยมีจำหน่ายทั่วไป
2.4 เครื่องดำนาใช้เครื่องยนต์ชนิดใช้กับกล้าแผ่น เครื่องดำนาประเภทนี้มีขนาดค่อนข้างเล็ก ใช้เครื่องยนต์ก๊าซโซลีน 4 จังหวะ 1-2.5 แรงม้า เป็นต้นกำลัง ประกอบด้วยล้อเหล็กหุ้มยาง 2 ล้อ ทำหน้าที่ในการขับเคลื่อน ให้ความสะดวกคล่องตัวในการทำงาน ผู้ใช้จะเดินตามเครื่อง การควบคุมการเลี้ยวบังคับด้วยการบีบคลัตช์ข้างที่ต้องการเลี้ยวที่มือจับ ปักดำได้ครั้งละ 2-6 แถว สามารถปรับระยะห่างระหว่างต้นได้แน่นอน มีระบบไฮดรอลิกเข้ามาช่วยในการยกตัวเครื่องให้สูงขึ้นขณะเลี้ยวกลับหัวงานและระหว่างการเดินทาง เครื่องดำนาใช้เครื่องยนต์แบบเดินตามแบ่งออกได้ตามชนิดของต้นกล้าที่ใช้ดังนี้ เครื่องดำนาที่ใช้กับต้นกล้าล้างราก เครื่องดำนาที่ใช้กับต้นกล้าเป็นแผ่น เครื่องดำนาที่ใช้กับต้นกล้าเป็นแถวยาว และเครื่องดำนาที่ใช้กับต้นกล้าเป็นหลุม แต่เครื่องดำนาที่ใช้กับต้นกล้าเป็นแผ่นได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง และได้มีการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพทำงานสูงขึ้นหลายๆ ด้าน ส่วนเครื่องดำนาอีก 3 ชนิด ดังกล่าว ไม่ได้รับความนิยม และบางชนิดได้เลิกการผลิตไปแล้ว นอกจากนี้ สถาบันการใช้เครื่องจักรกลเกษตร (Agricultural Mechanization Institute : AMI) ประเทศเกาหลีใต้ได้ดัดแปลงเอารถไถเดินตามใช้เครื่องยนต์ดีเซลประกอบเข้ากับเครื่องดำนาใช้กับต้นกล้าเป็นแผ่น ปักดำได้ครั้งละ 4 แถว แต่ได้รับความนิยม เพราะมีน้ำหนักมาก การถอยหลังล้าช้า การเลี้ยวกลับหัวงานใช้วงเลี้ยวกว้าง ทำงานได้ 6-8 ไร่ ต่อวัน
3. รถดำนา หรือเครื่องดำนาใช้เครื่องยนต์แบบนั่งขับ (Riding type rice transplanter) เครื่องดำนาประเภทนี้มีขนาดใหญ่ก็จริง แต่มีความคล่องตัวในการทำงานที่ดี มีประสิทธิภาพในการทำงานสูง สามารถปักดำได้ครั้งละ 4-8 แถว ปักดำได้ตั้งแต่ 8 ไร่ ต่อวัน มีทั้งแบบ 3 ล้อ และ 4 ล้อ เครื่องดำนาประเภทนี้ที่ใช้กันอยู่มี 2 ชนิด คือ
3.1 เครื่องดำนาใช้เครื่องยนต์แบบนั่งขับชนิดใช้กับต้นกล้าล้างราก เป็นเครื่องจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน มี 3 ล้อ โดยมีล้อหน้าเป็นล้อขับเคลื่อน ใช้เครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 3 แรงม้า และเครื่องยนต์ก๊าซโซลีน 3-5 แรงม้า เป็นต้นกำลัง ปักดำได้ครั้งละ 8 แถว แต่มีข้อจำกัดของระยะปักดำต้นกล้าที่สามารถปรับการปักดำได้เพียง 2 ระยะ ความสามารถในการทำงาน ประมาณ 10 ไร่ ต่อวัน มีการสูญเสียของต้นกล้าระหว่างการปักดำประมาณ ร้อยละ 3 โดยใช้คนในการทำงานกับเครื่องนี้ 2-3 คน คนแรกนั่งขับด้านหน้า ทำหน้าที่เป็นผู้ขับควบคุมเครื่อง ส่วนอีกคนหรือ 2 คน นั่งหันหลังอยู่ข้างซ้ายและข้างขวาของคนขับ ทำหน้าที่คอยใส่ต้นกล้าในถาดใส่ต้นกล้าของเครื่อง จัดเป็นเครื่องที่มีน้ำหนักมาก ทำให้การเลี้ยวกลับหัวงานและการเดินทางไม่ค่อยคล่องตัว ในการเดินทางจะต้องเปลี่ยนเป็นล้อยาง ทำให้เสียเวลาในการถอดประกอบล้อ ทำงานได้ 15-20 ไร่ ต่อวัน
3.2 เครื่องดำนาใช้เครื่องยนต์แบบนั่งขับชนิดใช้กับต้นกล้าเป็นแผ่น จัดได้ว่าเป็นเครื่องดำนาที่ได้รับความนิยมใช้กันทั่วไป ส่วนใหญ่เป็นเครื่องจากประเทศญี่ปุ่น และมีส่วนน้อยที่เป็นของประเทศเกาหลีใต้ ได้มีการนำเอาระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาใช้ในการควบคุมการทำงานหลายด้าน บางรุ่นติดตั้งอุปกรณ์ใส่ปุ๋ยทำงานร่วมด้วยระหว่างการปักดำ ปักดำได้ครั้งละ 4-5 แถว การสตาร์ตติดเครื่องยนต์ด้วยระบบไฟฟ้า การบังคับเลี้ยวใช้ระบบไฮดรอลิกเข้ามาช่วย ทำให้การเลี้ยวเร็วขึ้น ได้วงเลี้ยวที่แคบและเบาแรงแก่ผู้ใช้
3.3 เครื่องดำนาใช้เครื่องยนต์ชนิดใช้กับต้นกล้าเป็นแผ่นแบบอัตโนมัติ เป็นแบบนั่งขับแต่คนไม่ได้ขับ โดยได้นำเอาเทคโนโลยีระบบกำหนดตำแหน่งบนพื้นโลก GPS และระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาควบคุมในการทำงาน เครื่องจึงสามารถทำงานได้เองโดยไม่ต้องมีคนขับ คนมีหน้าที่คอยใส่แผ่นกล้าเท่านั้น
การทำนาด้วยเครื่องดำนา
การทำนาด้วยเครื่องดำนาต้องพิถีพิถันกว่าการดำนาตามปกติ เริ่มจากการไถเตรียมดินให้ละเอียดไม่มีเศษหญ้าเศษวัชพืชหลงเหลือ ปรับทำเทือกให้เรียบสม่ำเสมอกันทั่วพื้นที่ ไม่มีแอ่งมีหลุม หลังจากใส่ใจกับการเตรียมดินแล้ว ยังต้องใส่ใจกับการเพาะกล้า เริ่มจากการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์ เปอร์เซ็นต์การงอกสูง ไม่มีเมล็ดลีบ ด้วยการแช่ในน้ำเกลือเข็มข้น สังเกตเมื่อใส่ลงไปไข่จะลอยปริ่มน้ำ หรือใช้เกลือ 1.4 กิโลกรัม ต่อน้ำ 10 ลิตร ก็จะได้เมล็ดที่สมบูรณ์ นำเมล็ดใส่ถุงแช่น้ำทิ้งไว้ 2-3 คืน (ชาวนาไทยแช่เพียง 1 คืน) จากนั้นเอาเมล็ดขึ้นมาโรยลงในกระบะเพาะ ขนาดของกระบะกว้าง 28 เซนติเมตร ยาว 58 เซนติเมตร และสูง 3 เซนติเมตร เป็นขนาดมาตรฐาน จุดินได้ 4.3 ลิตร เป็นกระบะเพาะกล้าโดยเฉพาะ ร่อนดินผ่านตะแกรงละเอียด ขนาด 4-5 ช่อง ต่อตารางมิลลิเมตร ใส่กระบะให้สูง ประมาณ 2.5 เซนติเมตร ปาดให้เรียบเสมอกันก่อนโรยเมล็ด และโรยขี้เถ้าแกลบกลบหน้า นำกระบะเก็บไว้ที่ร่ม 2 คืน เมล็ดจะงอกออกมาประมาณ 1 เซนติเมตร จึงเอาออกไปไว้ในแปลงนาที่เตรียมไว้ รดน้ำให้โชกคลุมด้วยซาแรนทิ้งไว้ 2 วัน ค่อยเปิดเอาซาแรนออก ปล่อยน้ำเข้าให้ท่วมกระบะ ปล่อยไว้ 10 วัน จึงปล่อยน้ำเข้าสูงได้ แต่ในญี่ปุ่นประสบปัญหาในการเพาะกล้า เนื่องจากเป็นเมืองหนาวจึงต้องเอากระบะเพาะเข้าตู้อบก่อนจะนำออกแดด รอจนต้นกล้าอายุได้ 20-30 วัน จึงนำไปปักดำ นาที่จะปักดำต้องขังน้ำทิ้งไว้ในแปลงจนน้ำในแปลงตกตะกอนใสเสียก่อน จึงใช้เครื่องดำนาได้ ความลึกของน้ำในแปลงปักดำไม่ควรเกิน 5 เซนติเมตร ทั้งนี้เพื่อจะได้มองเห็นแนวจากเครื่องกาแถว ทำให้เครื่องแล่นได้เป็นแนวตรงมีระยะห่างระหว่างแถวที่เท่ากันตลอด ใส่แผ่นกล้าในถาดป้อนแผ่นกล้า ความยุ่งยากน่าเบื่อหน่ายจึงอยู่ที่การเพาะกล้า ที่ชาวนาไม่ค่อยชอบและไม่มีเวลาให้ แต่ก็ได้หาทางแก้จะมีการตั้งโรงงานผลิตกล้าขึ้นมาโดยเฉพาะเหมือนกับประเทศญี่ปุ่น ชาวนาไม่ต้องผลิตกล้าเอง ไปซื้อกล้าได้จากโรงงานผลิตกล้าหรือที่สหกรณ์ ถ้าเป็นรถดำนาในการปฏิบัติชาวนาไทยจะประจำอยู่ที่รถ 3 คน คนแรกเป็นคนขับ อีก 2 คน อยู่ทางซ้ายทางขวาทำหน้าที่ใส่แผ่นกล้าที่ม้วนเก็บไว้บนรถลงในถาดลำเลียงแผ่นกล้า รถดำนา 1 คัน เท่ากับคน 70-80 คน
เครื่องดำนา จะสวนกระแส
กับการทำนาหว่าน
ชาวนาในอำเภอสว่างวีระวงศ์ จังหวัดอุบลราชธานี ได้หันมาทำนาหว่านเพิ่มก็เพราะใช้ต้นทุนต่ำกว่าการนาดำ รวมทั้งขั้นตอนการทำนาดำมีความยุ่งยากมากกว่า ถึงแม้จะให้ผลผลิตที่มากกว่า แต่คนในชุมชนส่วนใหญ่เลือกที่จะทำนาหว่านมากกว่า การใช้แรงงานคนปักดำมีข้อดีคือ ต้นกล้าที่ปลูกจะมีความเป็นระเบียบและดูแลง่ายกว่า ในขณะที่นาหว่านส่วนใหญ่เมื่อหว่านแล้วต้องกลับมาหว่านซ้ำอีก เนื่องจากบางที่หว่านแล้วไม่มีต้นกล้างอกขึ้นมา ภาระหนักของนาดำคือเรื่องของการถอนกล้าที่ต้องอาศัยแรงมือ และในปัจจุบันหาแรงงานที่จะมารับจ้างทำยาก ทำให้คนในชุมชนแห่งนี้เกิดแนวความคิดในการช่วยผ่อนแรงการถอนต้นกล้า ด้วยการนำตาข่ายที่มีความถี่มากๆ มาใช้ หลังจากที่ชาวนาได้ไถเตรียมดินเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะนำตาข่ายมาปูทั่วทั้งแปลงนาที่ต้องการหว่านเมล็ดข้าวเปลือก โดยรากของข้าวเปลือกจะชอนไชผ่านรูตาข่าย และจะเจริญเติบโตทะลุรูของตาข่ายขึ้นมา เมื่อต้องการถอนต้นกล้าชาวนาก็สามารถดึงตาข่ายขึ้น เพื่อมัดเอาจำนวนต้นกล้าตามที่ต้องการได้ วิธีนี้เป็นวิธีที่สามารถช่วยผ่อนแรงได้มากกว่าวิธีอื่นๆ แต่ต้นทุนในการซื้อตาข่ายสูงตามมา
เช่นเดียวกับที่จังหวัดอุบลราชธานี ปัจจุบันวิถีการทำนาของชาวนาได้เปลี่ยนไป จากเดิมที่เคยทำนาดำก็หันมาทำนาหว่านเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากต้นทุนในการทำนาดำสูงกว่านาหว่านมาก ค่าแรงงานในการทำนาดำหายาก และค่าแรงสูง ประมาณ 150-200 บาท ต่อวัน ถึงแม้การทำนาหว่านอาจให้ผลผลิตได้ไม่เต็มที่แต่ก็สามารถประครองต้นทุนของการทำนาได้
การทำนาในประเทศไทย แบ่งวิธีการปลูกเป็น 3 วิธี คือ การทำนาหยอด การทำนาดำ และการทำนาหว่าน ส่วนจะใช้วิธีการไหนนั้นขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่นา ชนิดพันธุ์ข้าวที่จะปลูก
การทำนาหยอด เป็นวิธีที่ใช้สำหรับการปลูกข้าวนาปีในฤดูกาลที่อาศัยน้ำฝน ในภูมิประเทศที่ไม่มีน้ำเพียงพอสำหรับการตกกล้าและปักดำ โดยการหยอดเมล็ดพันธุ์ข้าวไว้ในหลุม หลุมละ 3-5 เมล็ด แล้วกลบเมล็ดทิ้งไว้ รอให้ฝนตกเพื่อการเจริญเติบโตต่อไป
การทำนาหยอด หยอดเมล็ดข้าวแห้ง ลงไปในดินเป็นหลุมๆ หรือโรยเป็นแถวแล้วกลบฝังเมล็ดข้าว เมื่อฝนตกลงมาดินมีความชื้นพอเหมาะ เมล็ดก็จะงอกเป็นต้น นิยมทำในพื้นที่ข้าวไร่ หรือนาในเขตที่มีการกระจายของฝนไม่แน่นอน การทำนาหยอดทำตามสภาพพื้นที่ ดังนี้
นาหยอดในสภาพข้าวไร่ พื้นที่ส่วนใหญ่มักเป็นที่ลาดชัน เช่น ที่เชิงเขา เป็นต้น ปริมาณน้ำฝนไม่แน่นอน สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่ไม่สามารถเตรียมดินได้ จึงจำเป็นต้องหยอดข้าวเป็นหลุม
นาหยอดในสภาพที่ราบสูง เช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ส่วนใหญ่เป็นที่ราบเชิงเขาหรือหุบเขา การหยอดอาจหยอดเป็นหลุมหรือใช้เครื่องมือหยอด หรือโรยเป็นแถวแล้วคราดกลบ นาหยอดในสภาพนี้ให้ผลผลิตสูงกว่านาหยอดในสภาพไร่มาก
นาหยอดในสภาพข้าวนาปี การทำนาหยอดนั้นทราบกันดีว่าทำกันในภาคอีสานกับพื้นที่แห้ง แต่เหตุการณ์ปัจจุบันได้เปลี่ยนไป การทำนาหยอดได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ในนาพื้นที่ภาคเหนือ ชาวนาในภาคเหนือบางจังหวัด เช่น ที่จังหวัดลำปาง ชาวนาได้หันมาทำนาหยอดทำกันในสภาพดินเปียกหลังจากทำเทือกแล้วปล่อยให้แห้งหมาดๆ ใช้ลูกกลิ้งมีปุ่มโดยรอบ เมื่อลากไปจะทำให้เกิดเป็นหลุมเล็กๆ พอที่จะหยอดเมล็ดข้าวลงไปได้ 3-6 เมล็ด การที่เกษตรกรหันมาทำนาหยอดในลักษณะเช่นนี้ก็เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนคนดำนาและค่าจ้างดำนาที่แพง ในการทำนาปี
การทำนาดำ เหมาะสำหรับบริเวณที่มีฝนตก หรือมีน้ำท่วม และพื้นดินเก็บกักน้ำได้ดี เตรียมดินด้วยการไถและคราดให้พื้นนาเป็นโคลนตม นำต้นกล้าที่ตกกล้าไว้ในแปลงกล้ามาปักดำ ในระยะห่างที่เหมาะสม
การทำนาหว่าน ส่วนใหญ่เป็นวิธีปฏิบัติสำหรับปลูกข้าวขึ้นน้ำ แต่อาจจะใช้กับการปลูกข้าวไร่หรือข้าวนาสวนก็ได้ การทำนาหว่านเพิ่มพื้นที่มากขึ้นในภาคกลางและจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันมีการทำนาดำไม่เกิน 10% การทำนาหว่านขยายตัวอย่างรวดเร็วเมื่อต้องประสบกับปัญหาการขาดแคลนแรงงานในการดำนาและค่าจ้างดำนาที่สูง ต้นทุนในการทำนาหว่าน ประมาณไร่ละ 500-600 บาท ขึ้นอยู่กับราคาเมล็ดพันธุ์ โดยมีค่าจ้างหว่าน ไร่ละ 70 บาท บางคนสามารถหว่านได้ถึงวันละ 10 ไร่ ได้ค่าจ้างหว่านไปเกือบพันบาท
ธุรกิจการทำนาดำได้รับการตอบรับด้วยดีจากชาวนาในพื้นที่ภาคกลางตอนบน แถบจังหวัดสิงห์บุรี ชัยนาท กำแพงเพชร พิษณุโลก พิจิตร กระบวนการเริ่มตั้งแต่การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ การเพาะกล้ากระบะในโรงเพาะ เพื่อขายต้นกล้าให้เกษตรกรที่มีเครื่องดำนาหรือรับจ้างปักดำนาด้วยเครื่องดำนา ชาวนาที่นั้นให้เหตุผลว่า ข้าวนาดำมีการเจริญเติบโตที่ดีกว่า เมล็ดข้าวมีความสมบูรณ์สูง อัตราการใช้ปุ๋ยน้อยกว่านาหว่าน นาหว่านใช้ปุ๋ย 50 กิโลกรัม ต่อไร่ นาดำใช้ปุ๋ย 20 กิโลกรัม ต่อไร่ แต่ธุรกิจการทำนาดำต้องอาศัยเครื่องดำนาเป็นต้นกำลังสำคัญในการปักดำ เครื่องดำนายังเป็นที่ต้องการอยู่ แต่ราคาที่สูงมาก ทำให้เกษตรกรที่มีรายได้น้อยตัดสินใจไม่ถูก ระหว่างการซื้อเครื่องดำนากับการจ้างเหมาเครื่องดำนามาปักดำแทนการทำนาหว่าน ฤดูทำนาเจ้าเครื่องดำนามีคิวจองจ้างให้ดำนายาวเหยียดตลอดเดือน
การเสนอตัวเข้ามาของการให้บริการรับจ้างดำนาด้วยเครื่องดำนากลายเป็นประเด็นร้อนท้าทายการตัดสินใจของชาวนนาว่าจะเอาอย่างไร ค่าจ้างดำนาด้วยเครื่องดำนาพร้อมกับต้นกล้า ตกไร่ละ 1,200 บาท ทั้งนี้ ราคาจะเปลี่ยนไปตามพันธุ์ข้าวที่ต้องการดำ เฉลี่ยแล้วต้องเสียค่าจ้างในการปักดำกล้า ประมาณ 3,775 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายเมื่อใช้เครื่องดำนา ประมาณ 3,165 บาท ต่อไร่ การใช้เครื่องดำนาจะเสียค่าใช้จ่ายถูกกว่าประมาณ 600 บาท วันนี้เครื่องดำนาคูโบต้าได้กลายเป็นพี่ใหญ่แห่งท้องทุ่งนาไทย เครื่องดำนาคูโบต้ามีแบบนั่งขับและแบบเดินตาม แบบนั่งขับถือได้เป็นยี่ห้อแรกที่มีในประเทศไทย เครื่องดำนาคูโบต้าทุ่มทุนจำนวนมากในการโหมประชาสัมพันธ์ให้ชาวนาหันมาใช้เครื่องดำนาหรือทำนาด้วยเครื่องดำนา โดยให้การฝึกอบรมชาวนาที่จะซื้อเครื่องให้เข้าใจเป็นอย่างดี การสั่งซื้อเครื่องดำนาจะได้รับเครื่องต่อเมื่อกล้าในกระบะเพาะอายุได้ 20-30 วันแล้ว เพราะเมื่อรับเครื่องไปก็พร้อมที่จะดำนาได้เลย ไม่ใช่ซื้อไปเก็บหรือสั่งสมบารมี
วิกฤตของวิถีชีวิตชาวนาไทยส่วนใหญ่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่มีวันเรียกกลับมาได้ง่าย วัฒนธรรมในการทำนาได้เปลี่ยนไป ควายที่เคยไถนาเคียงคู่ชาวนากลับไม่ได้ไถนา ควายไถนาไม่กลายเป็นควาย ไม่ได้ทำหน้าที่ไถนา แต่สิ่งที่น่าอายก็คือ ชาวนาปักดำนากันไม่เป็น แล้วจะบอกลูกบอกหลานกันอย่างไร ถ้าพวกเขาถามว่า "การปักดำนา ทำกันอย่างไงครับ/คะ" ทั้งนี้ ก็เพราะนาหว่านได้เข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตและวัฒนธรรมการทำนาของชาวนาไทยไปแล้ว และอีกมุมหนึ่งเมื่อแนวโน้มการใช้เครื่องดำนาที่ได้รับการตอบรับแล้วจากชาวนาบางส่วน มันจะถึงจุดเปลี่ยนให้ชาวนาส่วนใหญ่หันกลับมาทำนาดำกันอีกได้หรือไม่? เครื่องดำนาคูโบต้าคงต้องรอฟังคำตอบในโอกาสต่อไป
|
|